บริษัทได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจจากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สันทนาการ ได้แก่ เครื่องเล่นปาเป้าอิเลคทรอนิกส์ โต๊ะพูล โต๊ะฟุตบอล และโต๊ะไฟร์บอล ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมของตลาดน้อยลงมาสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่พักอาศัยเพื่อจำหน่ายประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด คอนโดมิเนียมเพื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในเขตจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการศึกษาเพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ในปี พ.ศ.2558 บริษัทจึงมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาความเป็นมืออาชีพในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและความผันแปรของรายได้ เพิ่มกำไร รวมถึงเกิดความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน.
ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ : 405 ถนนบอนด์สตรีท ซอย 13
ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
เลขทะเบียนบริษัท :0107548000587
วันที่จัดตั้ง :7 มกราคม 2535
วันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ :8 ธันวาคม 2548
ทุนจดทะเบียน :1,149,760,250 บาท
ทุนเรียกชำระแล้ว :398,460,250 บาท
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 บริษัทฯได้พิจารณาจำหน่ายโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดิ อิมเพลส ตั้งอยู่ ณ ตำบลลำพยา จังหวัดนครปฐม จำหน่ายสินทรัพย์ดังกล่าว ด้วยมูลค่าสิ่งตอบแทน 144,280,000 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสี่ล้านสองแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) ซึ่งมีราคาประเมินอยู่ที่มูลค่า 157,490,851.50 บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดล้านสี่แสนเก้าหมื่นแปดร้อยห้าสิบเอ็ดบาทห้าสิบสตางค์) สาเหตุในการจำหน่ายโครงการดังกล่าวต่ำกว่าราคาประเมินเนื่องจากบริษัทฯ มีความต้องการจะนำเงินลงทุนในโครงการอื่นๆของบริษัท และโครงการ ดิ อิมเพลสมีความคืบหน้า การขายช้ากว่าที่คาดการณ์ และต้องลงทุนเพิ่มเติมอีกมาก ทางบริษัทพิจารณาแล้วให้ดำเนินการขายโครงการออกในราคาที่สมเหตุสมผลเป็นไปตามมูลค่าทางตลาดและไม่เสียหายต่อบริษัทฯ ช่วงเดือนเมษายน ปี 2557 บริษัทฯ จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เมื่อวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2557 เพื่อขอมติผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติงบการเงินรวมของบริษัทประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มติการงดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงาน ฯลฯ โดยผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติตามวาระต่างๆที่ ได้ขอร่วมพิจารณา บริษัทฯ ได้จัดงาน Grand Opening โครงการตักสิลา ณ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2557 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สรุปการเปิดจองโครงการตักสิลามีทั้งหมด 300 ห้องชุด จำนวนห้องที่จอง ณ วันเปิดตัวโครงการ 101 ห้องชุด เหลือ 199 ห้องชุด(ที่ยังไม่มีการจอง) ช่วงปลายปี 2557 บริษัทฯ ได้พิจารณายกเลิกการซื้อที่ดินจำนวน 2 แปลงซึ่งบริษัทได้มีการวางมัดจำในปี 2556 เนื่องด้วยบริษัทฯ ยัง มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการตักสิลาคอนโดมิเนียม ที่มีมูลค่าประมาณ 230,000,000 บาท (สองร้อยสามสิบล้านบาทถ้วน) ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาและมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวและมีความผันผวน นอกจากนี้หากบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการรับโอนที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวได้ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2557 นี้ บริษัทฯ จะถูกริบมัดจำเป็นจำนวน56,000,000 บาท (ห้าสิบหกล้านบาทถ้วน) ดังนั้นเพื่อมิให้บริษัทฯ ต้องรับภาระทางการเงินจากการที่บริษัทฯ จะต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมจำนวนมากในการรับโอนที่ดินและเพื่อมิให้บริษัทฯ ต้องสูญเสียเงิน มัดจำ ในที่ดินดังกล่าวการโอนขายสิทธิในเงินมัดจำ ให้แก่บุคคลอื่นจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดบริษัทจึงได้มีการพิจารณาโอนขายสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น ในปี 2556 ช่วงเดือนเมษายน บริษัทฯได้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เมื่อวันอังคารที่ 30 เมษายน 2556 เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 1,025 ล้านบาท จากเดิม 250 ล้านบาท รวมเป็น 1,275 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 1,025 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ในหุ้นละ 1.00 บาท เพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. รับรองการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) จำนวน 100 ล้านหุ้น ในปี 2556 บริษัทได้พิจารณาจำหน่าย บริษัท กริฟฟิน เอฟโวลูชั่น จำกัด (ถือหุ้นร้อยละ 60.00) ทั้งจำนวน มูลค่า 1.2 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าในปีที่ผ่านมาบริษัทดังกล่าวยังไม่มีการดำเนินงานใดๆและ ในเดือนกันยายน ปี 2556 บริษัทฯได้มีการบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวอื่น ของบริษัท เมดดาลิสท์ วิชั่น จำกัด จำนวน 17.8 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจและปัญหาจากการลงทุนพัฒนาระบบออนไลน์ของบริษัทดังกล่าวเกิดข้อผิดพลาด และบริษัทฯมีการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แทนธุรกิจเครื่องเล่นสันทนาการ ซึ่ง บริษัท เมดดาลิสท์ วิชั่น จำกัด ต้องอาศัยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปกับสินค้าดังกล่าว ฝ่ายบริหารจึงมีมติให้บันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวอื่นดังกล่าวทั้งจำนวน เป็นจำนวนเงิน 17.8 ล้านบาท ในงบแสดงฐานะการเงินรวมและ 17.8 ล้านบาท ในงบแสดงฐานะการเงินเฉพาะกิจการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ระหว่าง ปี 2556 บริษัทฯ ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2556 เพื่อขอมติผู้ถือหุ้นร่วมพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท พร้อมการเปลี่ยนแปลงชื่อและตราประทับบริษัท เนื่องจากบริษัทฯมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจหลัก จึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอเชีย คอร์ปอเรท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจ ณ ปัจจุบัน ในปี 2555 บริษัทลงทุนในบริษัท กริฟฟิน เอฟโวลูชั่น จำกัด โดยลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 0.20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 0.30 ล้านบาท (ถือหุ้นร้อยละ 60.00) ซึ่งบริษัทดังกล่าวประกอบกิจการผลิตข้อมูลนิ่งเสียง ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว ผ่านระบบสื่อสารทุกประเภทในเดือนธันวาคม 2555 บริษัทบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวอื่นของบริษัท ภูเก็ต เพนนินซูล่า จำกัด เนื่องจากมีคดีความเกี่ยวกับหนี้สินจำนวนมากและคดีกล่าวหาจากราชการ เรื่อง การบุกรุกที่สาธารณะ ฝ่ายบริหารของบริษัทเชื่อว่าโอกาสที่จะได้ข้อยุติทั้งหมดคงใช้เวลานานและอาจมีผลเสียหายต่อบริษัทที่บริษัทไปลงทุน จึงมีมติให้บันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนระยะยาวอื่นดังกล่าวทั้งจำนวน เป็นจำนวนเงิน 138 ล้านบาท ในงบแสดงฐานะการเงินรวมและ 140 ล้านบาทในงบแสดงฐานะการเงินเฉพาะกิจการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 ในปี 2554 บริษัทได้จดทะเบียนลดทุนจาก 375 ล้านบาท เป็น 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นสามัญส่วนที่เหลือจากการสำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญรุ่นที่ 1 (MME-W1) ในปี 2553 บริษัทลงทุนในบริษัท ออร่า ดรีม จำกัด โดยลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10บาท คิดเป็นจำ นวนเงิน 45 ล้านบาท (ถือหุ้นร้อยละ 9) โดยบริษัทดังกล่าวประกอบกิจการโรงแรมในจังหวัดนครปฐม ระหว่างปี 2552 คณะกรรมการบริษัท มีมติให้โอนเงินลงทุนบริษัท ภูเก็ต เพนนินซูล่า จำกัด ไปเป็นเงินลงทุนระยะยาวอื่นในปี 2552 บริษัทลงทุนในบริษัท เมดดาลิสท์ วิชั่น จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ บริการรับเขียน จัดทำ ออกแบบ และพัฒนาเว็บไซด์ และโฮมเพจ รับโฆษณา ออกแบบโฆษณา และบริการประชาสัมพันธ์ โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต สายโทรศัพท์ เกมส์ออนไลน์ มูลค่าลงทุน 17.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 89 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในปี 2551 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนเป็น 375 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ (MMEW1) โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 250 ล้านบาท ในปี 2550 บริษัท MMC ได้มอบสิทธิการขายในส่วนของประเทศรัสเซีย ประเทศจีน และประเทศอินเดีย ให้กับทางบริษัท เพื่อให้บริษัทมีสิทธิในการเพิ่มช่องทางทางการตลาดไปในประเทศ ดังกล่าว โดย MMC สัญญาว่าจะไม่ประกอบธุรกิจที่แข่งขันกันในพื้นที่ดังกล่าว ในปี 2549 บริษัทได้ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท ภูเก็ต เพนนินซูล่า จำกัด จำนวน 1.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 116.66 บาท เป็นจำนวนรวม 140 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทดังกล่าวในระหว่างปี 2549 – 2550 มีการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ มีผลทำให้ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2548 บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจำนวน 170 ล้านบาท ดังกล่าวข้างต้นไปซื้อที่ดินประมาณ 4 ไร่ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งโรงงาน และซื้อที่ดินเพิ่มอีกประมาณ 17 ไร่ เพื่อรองรับการก่อสร้างในส่วนการขยายโรงงาน และคลังสินค้าจากบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน และได้ทำสัญญาซื้อตราสินค้า “Medalist” (Trademark Agreement) จาก MMC เพื่อทำให้บริษัทมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Right) ในการผลิต และจำหน่ายเครื่องเล่นอิเลคทรอนิคส์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้ตราสินค้าดังกล่าวได้ทั่วโลก ยกเว้น ประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกา ประเทศรัสเซีย ประเทศจีน และประเทศอินเดีย (พื้นที่ที่บริษัทได้รับสิทธิในการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นอิเลคทรอนิคส์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้ นอกจากนี้ บริษัทได้ทำสัญญาสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ (Supporting Agreement) กับ MMC โดยกำหนดให้ MMC ช่วยทำการส่งเสริมการตลาด และช่องทางจำหน่ายเชิงรุกสำหรับเครื่องเล่นปาเป้าอิเลคทรอนิคส์ และอุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ Territory เช่น การส่งมอบรายชื่อ สถานที่ติดต่อ และรายละเอียดอื่นๆ ของลูกค้าให้กับบริษัท การประสานงานให้บริษัทได้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง และสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าใหม่ใน Territory เป็นต้น ซึ่งทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ด้านการตลาด และช่วยเสริมความสามารถในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 9/2548 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548 มีมติให้บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นจาก 10 บาท เป็น 1 บาท พร้อมทั้งเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นจำนวน 250 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 50 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายต่อประชาชนจำนวน 40 ล้านหุ้น และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้กับกรรมการ และพนักงานของบริษัทจำนวน 10 ล้านหุ้น และมีมติให้นำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเดือนธันวาคม ปี 2547 บริษัทตกลงร่วมทุนกับ MMC โดยได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 30 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 21 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยจำนวน 12.6 ล้านหุ้น และ MMC จำนวน 8.4 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท และได้เรียกชำระค่าหุ้นเพียงร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียนส่วนที่เพิ่ม ทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้ว ณ วันสิ้นปี 2547 เป็นจำนวน 82.50 ล้านบาท หลังจากนั้น บริษัทได้มีมติลดทุนจดทะเบียนจำนวน 40 ล้านบาท จากเดิม 240 ล้านบาท เหลือ 200 ล้านบาท พร้อมทั้งได้เรียกชำระค่าหุ้นส่วนที่เหลือในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 ทำให้ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย และ MMC ถือหุ้นเป็นจำนวน 13 ล้านหุ้น และ 7 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น ในปี 2545 บริษัทได้ขยายการดำเนินธุรกิจไปสู่การเป็นฐานการผลิต (“Original Equipment Manufacturer :OEM”) สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องเล่นสันทนาการ (Coin-Operated-Entertaining Machine) ที่มีการใช้ชิ้นส่วนที่ทำจากไม้เป็นส่วนประกอบ เช่น เครื่องเล่นปาเป้าอิเลคทรอนิคส์ (Electronic Dart Board) โต๊ะพูล (Pool Table) และโต๊ะฟุตบอล(Soccer Table) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าที่เป็นเจ้าของตราสินค้าในต่างประเทศทั้งหมด โดยลูกค้าจะนำไปจำหน่ายต่อให้แก่ตัวแทนจำหน่ายสินค้า (Distributor) ผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Agent) และผู้ประกอบการ (Operator) ของลูกค้าอีกทอดหนึ่งภายใต้ตราสินค้าของตนเอง จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2535 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 ล้านบาท เพื่อประกอบกิจการผลิตดอกลำโพง และตู้ลำ โพงสำหรับเครื่องเสียงเพื่อใช้ในบ้าน และชิ้นส่วนเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ตามคำสั่งซื้อของผู้ประกอบการในประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้กลุ่มผู้ก่อตั้งได้แก่ กลุ่มตระกูลเอี้ยวศิวิกูล และนายธเนศ ดิลกศักยวิทูร ต่อมาในปี 2539 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 30 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 2.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการประวัติความเป็นมา
2. รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 2 ( MME-W2) จำนวน 175 ล้านหุ้น
3. รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) จำนวน 500 ล้านหุ้น
4. รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 3 ( MME-W3) จำนวน 250 ล้านหุ้น ในระหว่างปี 2555 บริษัท ได้มีการลงทุนในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อโครงการ “The Impress” มีมูลค่าโครงการ ประมาณ 360 ล้านบาท ตั้งอยู่ ณ ตำบลลำพยา จังหวังนครปฐม ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการลงทุนในธุรกิจหลักด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แทนธุรกิจเดิมที่ผลิตและจำหน่ายเครื่องเล่นสันทนาการ เช่น ตู้ปาเป้าอิเล็คทรอนิคส์ โต๊ะพลู ฯลฯ
ในปี 2555 บริษัทลงทุนในบริษัท บูสท์ พลัส จำกัด โดยลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 3.00 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 6.00 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 18.00 ล้านบาท (ถือหุ้นร้อยละ 99.99) ซึ่งบริษัทดังกล่าวประกอบกิจการ รับจ้างจัดงานทั้งภายในและภายนอกสถานที่ จัดคอนเสิร์ต และจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด
ตราสินค้า “Medalist” จะรวมเรียกว่า “Territory” ส่วนพื้นที่อื่นๆ ซึ่งยังคงเป็นสิทธิของ MMC ได้แก่ ประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกา ประเทศรัสเซีย ประเทศจีน และประเทศอินเดีย จะรวมเรียกว่า “Non-Territory”) ซึ่งทำให้บริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้น และมีกำไรต่อหน่วยสูงขึ้น เนื่องจากจำหน่ายไปยังลูกค้าโดยตรงโดยไม่ต้องขายผ่าน MMC ดังเช่นในอดีต
สัดส่วนร้อยละ 65 และ 35 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 200 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย และ MMC ได้ตกลงร่วมกันที่จะนำหุ้นจำนวน 44.57 ล้านหุ้น และจำนวน 24 ล้านหุ้น ตามลำดับ รวมเป็น 68.57 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เข้าฝากในบัญชี Lock up กับบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 28.57 ของทุนชำระแล้ว (240 ล้านหุ้น) ในกรณีที่ผู้ร่วมทุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการขายหุ้นของตนออกจากบัญชี Lock up จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร่วมทุนทั้งสองฝ่าย และตกลงที่จะรักษาสัดส่วนการถือหุ้นตลอดระยะเวลาของการร่วมทุนของผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของทุนชำระแล้ว (240 ล้านบาท)